พระยอดธง กรุบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
เนื้อทองคำ เนื้อเงินสนิมดำ เนื้อชินเงิน
พระยอดธงเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อชินเงิน ตามภาพพระที่ลงไว้นี้ พระทั้ง 3 องค์ขุดพบในเขตท้องที่จังหวัดสุโขทัย น่าเชื่อว่าเป็นพระสร้างใน สมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าพระยอดธงทองคำใช้สำหรับพระมหากษัตริย์หรือแม่ทัพระดับสูงของกองทัพ ส่วนตำแหน่งรองๆลงมาก็คงเป็นพระยอดธงเนื้อเงิน พระยอดธงเนื้อทองคำ และเนื้อเงิน ตามภาพ มีลักษณะเหมือนกัน ขนาดเท่ากัน ขุดได้ในกรุเดียวกัน มีพุทธลักษณะเป็นพระนั่งมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ 1.7 ซม. วัดส่วนสูงจากยอดพระเกศมายังปลายสุดของแกนชนวนประมาณ 3.8 ซม. พระยอดธงเนื้อทองคำหนักประมาณ 22 กรัม รูปทรงเป็นองค์พระพุทธปฎิมาทั้งองค์ มีลักษณะสวยงามตลอดองค์ ตั้งแต่ยอดพระเกศถึงแกนชนวน แกนชนวนมีลักษณะมนเป็นสามเหลี่ยมดูสวยงาม ช่างหลวงคงตั้งใจทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพระมหากษัตริย์และแม่ทัพระดับสูงของกองทัพเท่านั้น มีความเก่าดูง่าย มีศิลปะปราณีตและสวยงามกว่าพระยอดธงที่ขุดได้จากกรุอื่นๆ มาก เช่น พระยอดธงสมัยอยุธยา พระยอดธงกรุนครศรีธรรมราช พระยอดธงใบข้าว เป็นต้น
“พระยอดธงเนื้อทองคำและเงินคู่นี้ มีพระพุทธคุณดีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆดีมาก คุ้มครองวงษ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองและดีเด่นด้านเมตตามหานิยม กับมีโชคมีลาภดี เป็นมหามงคลสูงสุด และคงกระพันชาตรี” จากหนังสือพิมพ์เมืองชัย จังหวัดชัยนาท ได้ลงเรื่องพระยอดธงเนื้อทองคำและเนื้อเงินคู่นี้ไว้ว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2510 พลทหารวันชัย กลิ่นบุหงา ทหารสังกัดหน่วยจงอางศึก ในยุทธภูมิปราบปรามพวกเวียดกง ถูกพวกเวียตกงลอบยิงด้วยปืนยิงเร็ว กระสุนปืนถูกบริเวณต้นแขนเสื้อขาด มีบาดแผลเป็นรอยไหม้ และรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเวียตกงยังใช้ระเบิดมือขว้างเข้าใส่ จนทำให้ทหารผู้นี้ถูกสะเก็ดระเบิดอย่างจังบริเวณหน้าอก ชายโครงและต้นคอ แต่บาดแผลที่ถูกสะเก็ดระเบิดนั้น เป็นเพียงฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าสะเก็ดระเบิดสามารถทะลุทะลวงร่างกายของทหารผู้นี้แม้แต่ชิ้นเดียว แต่ทหารผู้นี้ก็มีอาการจุกแน่นหายใจไม่ค่อยออก แพทย์สนามต้องช่วยปฐมพยาบาลให้ออกซิเจน และให้พักฟื้นระยะหนึ่งก็กลับไปสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเดิม ซึ่งจากการถูกซุ่มโจมตรีครั้งนี้ มีทหารอีกหลายนาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสและตาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทหารผู้นี้ มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ลงข่าวให้ประชาชนได้อ่านกันมาแล้ว และผู้สื่อข่าวสงครามของสหรัฐอเมริกา ยังถ่ายภาพหลักฐานไปเผยแพร่ยังประเทศของเขาด้วย ทหารผู้นี้ใช้พระยอดธงเนื้อทองคำ พระยอดธงเนื้อเงินและเขี้ยวหมูตัน 1 อัน (เป็นเขี้ยวหมูที่พระอาจารย์สมัยเก่าปลุกเสกมาแล้ว) คุ้มครองตัวในครั้งนี้ และได้ยืนยันว่าตนรอดตายจากอาวุธของพวกเวียตกงครั้งนี้ ก็เพราะได้รับความคุ้มครองจากพระยอดธงคู่นี้ ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ก็ได้อาราธนาพระยอดธงสององค์นี้ให้ช่วยคุ้มครองให้ทุกครั้ง และขณะเดียวกันก็ภาวนาพระคาถากำกับพระยอดธงไปด้วย พระคาถากำกับพระยอดธงองค์นี้คือ “อิกะวิติ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ” เป็นพระคาถาที่พระอาจารย์ดังสมัยก่อน ได้ให้คุณปู่ของทหารผู้นี้ไว้ ว่าเป็นพระคาถาภาวนากำกับพระยอดธงคู่นี้โดยเฉพาะ จะทำให้มีพระพุทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งๆขึ้น ในอดีตมีนายทหารหลายนาย ได้ติดตามพระยอดธงคู่นี้ เพื่อขอเช่าในราคาหลายหมื่นบาท แต่เจ้าของเสียดายยังไม่ยอมปล่อยให้ ต่อมาพระเนื้อทองคำและเนื้อเงินคู่นี้เปลี่ยนมือถึงเจ้าของคนปัจจุบัน และได้ฝากปล่อยพระคู่นี้มายังรายการนี้ด้วย ในราคา 4.5 แสนบาท ติดต่อคุณพอสุข 094-5037925 พระอยู่ในตลับทองคำทั้งสององค์หนักหลายบาท
(ปล่อยแล้ว)
วิธีดูพระยอดธง
พระยอดธง มีพุทธลักษณะเป็นพระนั่งมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุที่ใช้สร้างอาจหล่อด้วยเนื้อชินเงิน เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเงิน เนื้อนาค เนื้อทองคำ ปั้นองค์พระแบบลอยตัว ดูได้ทุกๆ ด้าน สมัยโบราณวัสดุที่ใช้สร้างจะเป็นเนื้อโลหะ ยังไม่เคยขุดพระยอดธงของเก่าจากท้องที่ใด ที่สร้างด้วยเนื้ออย่างอื่นเช่นดินหรือปูน เป็นต้น ลักษณะที่สำคัญในการเรียกชื่อพระเครื่ององค์นั้นว่าเป็นพระยอดธงหรือไม่ จะดูได้จากเดือยหรือแกนชนวน ที่ยื่นออกมาจากฐานพระหรือส่วนล่างขององค์พระ บางองค์อาจเป็นแกนลักษณะตรง หรือบางองค์อาจมีลักษณะเป็นแกนหมนแบบสามเหลี่ยมแลดูสวยงาม ด้านใต้องค์พระที่มีแกนชนวนที่ยื่นออกมา ในสมัยต่อมาเรียกชื่อพระว่า “ พระยอดธง ” การหล่อพระองค์เล็กๆ ตามปกติ ช่างจะทำแกนชนวนยื่นลงมาจากใต้องค์พระ เพื่อเวลาเทโลหะที่ใช้หล่อพระลงไปในพิมพ์พระ โลหะที่หลอมละลายจะได้ไหลลงได้เต็มองค์พระ ซึ่งต้องทำไว้ทุกองค์ จะตัดแกนชนวนออกหรือไม่เท่านั้น แกนชนวนที่ยื่นลงมาจากใต้องค์พระนี้ สมัยโบราณจึงใช้แกนชนวนนี้ให้เป็นประโยชน์ เอาไว้ใช้มัดหรือผูกติดกับยอดเสาธงประจำกองทัพต่อไป
ในการออกศึกสงครามสมัยโบราณของกองทัพไทย ต้องมีธงประจำกองทัพ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ ออกศึกแบบประชิดตัวต่อตัว การมีธงที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาองค์เล็กๆ อยู่บนยอดธงด้วย ก็เพราะพระพุทธานุภาพแห่งพระพุทธคุณที่สิงสถิตย์อยู่ที่องค์พระพุทธปฏิมาองค์เล็กๆอยู่บนยอดธงนั้น จะทำให้จิตใจของผู้ที่อยู่ในกองทัพทุกคน มีเครื่องยึดมั่นจิตใจ มุ่งต่อสู้กับศัตรูด้วยความเชื่อมั่นโดยมิได้ครั่นคร้ามเกรงกลัว และชนะศัตรูในที่สุด ดังนั้นการสร้างพระยอดธงแต่ละองค์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์สมัยนั้นได้ทรงใช้คุ้มครองนับถือ ป้องกันประเทศให้มีความสงบสุข ให้เจริญรุ่งเรือง เมื่อถึงคราวออกทัพจับศึก ก็จะนำธงที่ประดิษฐานพระยอดธงนี้ออกรบาชูนำหน้าลุยข้าศึก จึงต้องเป็นพระยอดธงที่มีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างสูงสุด พิธีกรรมในการจัดสร้างจึงต้องพิถีพิถันมาก มีพิธีบรวงสรวงที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเทพ เทวาต่างๆ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้มาช่วยบันดาลให้พระยอดธงเกิดความขลังและมีความศักดิ์สิทธิ์ พระอาจารย์ที่มาร่วมกันกระทำพิธีปลุกเสกพระยอดธงจะต้องเป็นพระอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมขลังจริงๆ มีสมาธิจิตสูงเป็นอย่างมาก มีชื่อเสียงเลื่องลือในรัชกาลนั้นๆ พระอาจารย์จอมปลอมไม่เก่งจริง หรือไม่มีคุณวิเศษอะไร จะไม่มีโอกาสเข้าร่วมพิธีโดยเด็ดขาด พระอาจารย์บางท่านก็อาจสำเร็จฌาณสมาบัติขั้นสูง เชี่ยวชาญทั้งสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งพระสงฆ์ในสมัยโบราณที่สำเร็จขั้นนี้ ย่อมหาง่ายกว่าสมัยปัจจุบันนี้มาก ซึ่งพระอาจารย์ทั้งหมดก็ได้ร่วมกันกระทำพิธีมหาพุทธาภิเษก และอธิษฐานจิตให้พระยอดธงนั้น ให้มีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหตุนี้พระยอดธงที่สร้างในสมัยโบราณจริงๆโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้จัดสร้าง ย่อมมั่นใจและเชื่อมั่นในพลังพุทธคุณได้อย่างเต็มที่ มีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างสูง คุ้มครองผู้มีไว้ติดตัวให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆได้จริง
พระยอดธงพบในสถานที่ต่างๆกัน ในยุคสมัยต่างๆ กัน เช่น พระยอดธงใบข้าวพบในเมืองเชียงแสน พระยอดธงกรุพระ จ.นครศรีธรรมราช พระยอดธงสมัยอยุธยา เช่น พระยอดธงวัดไก่เตี้ย ลักษณะพระเป็นการสร้างโดยฝีมือชาวบ้าน ส่วนมากแกนชนวนมีลักษณะตรง มีเนื้อทองคำและเงินด้วย พระยอดธงสมัยอยุธยาเนื่องจากสร้างไว้มาก จึงหาเช่าได้ในราคาไม่แพงมาก
สมัยสุโขทัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.1792 เป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์พระร่วง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พระร่วง ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.1822 เป็นพระมหากษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถในการรบเป็นอย่างมาก พระองค์ได้แผ่แสนยานุภาพและกำลังกองทัพไปในที่ต่างๆ ขยายอาณาเขตไปได้ไกล สามารถปราบศัตรูและเจ้าเมืองต่างๆได้อย่างราบคาบ ได้ทะนุบำรุงบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาก ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาก ในปี พ.ศ.1822 นี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงปลูกต้นตาลและได้จัดสร้างพระพุทธปฏิมาองค์เล็กๆ ที่ใช้ประดิษฐานบนยอดธงประจำกองทัพ และบนยอดธงที่ใช้ปักตามเขตพระราชฐานของพระองค์ เพื่อเป็นมหามงคล และช่วยคุ้มครองป้องกันภัย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากคาถาอาคมของศัตรู ตลอดจนสิ่งเลวร้ายจากศัตรูที่มองไม่เห็น และแก้อาถรรพณ์ต่างๆที่ไม่ดีให้หมดไปด้วยอำนาจแห่งพระพุทธคุณที่สิงสถิตย์อยู่ที่องค์พระพุทธปฏิมาองค์เล็กๆบนยอดธงนั้น รวมทั้งจัดสร้างพระพุทธรูปขนาดต่างๆ ด้วย ได้นิมนต์พระอาจารย์ที่มีคุณวิเศษดีที่สุดในยุคนั้น เข้าร่วมกระทำพิธีที่ปลุกเสกพระพุทธปฏิมาดังกล่าว ให้มีความขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างสูงสุด เพื่อเป็นมหามงคล สร้างโชคชัยและความยืนยง ให้แก่รัชกาลของพระองค์